นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
" การขับเคลื่อนนโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการทำโดยลำพังไม่ได้
การยกระดับคุณภาพการศึกษาจะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นกับทั้งระบบ และทั้งสังคมต้องมาร่วมมือกัน
" การศึกษาต้องเป็นวาระแห่งชาติ" ดังนั้น ในนโยบายจึงได้ประกาศให้ปี
๒๕๕๖ เป็นปีแห่ง " การรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา" จึงจำเป็นที่จะต้องให้ทุกคน
รวมทั้งสังคมได้เข้ามามีส่วนร่วม และเป็นพลังขับเคลื่อนให้เด็กไทยทุกคนได้มีโอกาสเรียนอย่างมีคุณภาพ
สามารถคิด วิเคราะห์ มีทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน
จึงทำแบบแยกส่วนไม่ได้"
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวโดยสรุปประเด็นเสวนา " รวมพลังทุกภาคส่วนขับเคลื่อนการศึกษาไทยสู่เวทีโลก"
ดังนี้
๑. สังคมไทยมีความตระหนักและเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องมีการปฏิรูปการศึกษา
และต้องร่วมกันคิด วิเคราะห์ กำหนดนโยบาย เป้าหมาย แผนงานและแนวทางการขับเคลื่อน
๒. การปฏิรูปการศึกษาที่ผ่านมา มุ่งเน้นการปรับโครงสร้างเป็นส่วนใหญ่และใช้เวลามากในการแก้ไข
ทั้งนี้โลกปัจจุบันให้ความสำคัญในการกำหนดคุณลักษณะของผู้เรียนที่พึง ประสงค์
โดยเฉพาะมุ่งเน้นทักษะการคิดวิเคราะห์ การเรียนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
และการเรียนผ่านอินเทอร์เน็ต ดังนั้น วิธีการจัดการเรียนการสอนของครูจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน
๓. ประเทศไทยไม่มีระบบการทดสอบกลางที่เป็นมาตรฐาน
การประเมินผลคุณภาพการศึกษาจึงมักใช้ผลการประเมินจากต่างประเทศ เช่น PISA ดังนั้นจึงต้องสร้างเป้าหมาย ตัวชี้วัด และแนวทางการวัดผลประเมินผลที่สอดคล้องกับบริบทของประเทศมาเป็นเครื่องมือใน
การวัด และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการวางแผนกำหนดเป้าหมายการศึกษา
๔. การใช้ทรัพยากรทางการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยลดการใช้จ่ายงบประมาณได้
ทั้งนี้ งบประมาณด้านการศึกษาเทียบกับ GDP ของประเทศ พบว่า
อยู่ในระดับที่สูงมาก แต่หากพิจารณางบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักสูตร
ดังนั้น ควรเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณโดยมุ่งเน้นการพัฒนาการเรียนการสอน เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ให้สูงขึ้น
รวมไปถึงควรสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาเพื่อลด ภาระด้านงบประมาณ
๕. ปัจจุบันครูไทยมีภาระที่นอกเหนือจากการจัดการเรียนการสอน เช่น
การบริหาร งานธุรการ งานเอกสาร กิจกรรมนอกโรงเรียน รวมทั้งการทำผลงานเพื่อประเมินวิทยฐานะที่เน้นระบบเอกสาร
ดังนั้นควรให้ครูใช้เวลาในการเรียนการสอนมากขึ้น ลดภาระในการบริหารจัดการให้น้อยลง
รวมถึงการประเมินวิทยฐานะต้องพิจารณาเชื่อมโยงกับผลสัมฤทธิ์นักเรียน
๖. การปรับเปลี่ยนทัศนคติ ค่านิยมของผู้ปกครองกับการเรียนต่อในสายอาชีวศึกษา
จะต้องมีการปรับค่าตอบแทนในตลาดแรงงานให้สอดคล้องผลิตภาพ (productivity) ที่เกิดขึ้นจริง มากกว่าการพิจารณาจากระดับการศึกษา ใช้ระบบคุณวุฒิวิชาชีพ
นำประสบการณ์มาเทียบเคียงกับคุณวุฒิ และนำระบบคุณวุฒิวิชาชีพมาเชื่อมโยงกับภาคเอกชน
โดยกำหนดความต้องการกำลังคน และสนับสนุนให้เด็กที่จบ ม. ๓ แต่ไม่ได้เรียนต่อให้กลับเข้ามาเรียนในสายอาชีวศึกษา
๗. การพัฒนาระบบดูแลเด็กเล็กในระดับก่อนปฐมวัย ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาระบบดูแลให้มีประสิทธิภาพ
ในขณะที่เด็กปฐมวัยจะต้องสร้างระบบทดสอบและระบบคัดกรองเด็กให้มีมาตรฐาน
๘. การปฏิรูปการศึกษา จำเป็นต้องอาศัยหลายฝ่าย ต้องทำให้การศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ
เป็นเรื่องที่ต้องระดมความเห็นทุกฝ่ายมาช่วยกันคิด สังคมต้องช่วยกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น