วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555


สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๖ พี่ น้อง ผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษา ทุกท่าน
 

เนื่องในโอกาสดิถีขึ้นปีใหม่   ขออำนวยชัยให้ทุกท่านจงสุขขี
ประสบโชค ประสบชัย ไร้ราคี      ได้พบแต่สิ่งดีดีที่ต้องการ
แคล้วคลาดพิบัติภัยและไร้ทุกข์     ทั้งมั่งมีศรีสุขสนุกสนาน
อุดมด้วยลาภยศสรรเสริญตลอดกาล  จิตเบิกบานผ่องแผ้วด้วยแนวบุญ
หวังสิ่งใดให้สำเร็จสมประสงค์    เจตจำนงค์ที่ดีงามตามวิสัย
บารมีเพิ่มพูนตลอดไป       อวยพรให้ทุกท่านสุขสำราญเทอญ.

               
                ขณะนี้ใกล้วันแห่งการทดสอบระดับชาติ O Net  แล้ว ขอให้ทุกท่านเตรียมให้พร้อม และดำเนินการให้เป็นไปตามที่เราตั้งเป้าหมายไว้ด้วย สิ่งที่จะนำมาเรียนท่านในวันนี้เป็นแนวทางการพัฒนาการศึกษาที่ท่าน ดร.รังสรรค์ มณีเล็ก ได้นำเสนอในจดหมายเปิดผนึก

แนวทางการจัดสรรเงินรายหัวให้กับนักเรียนในอนาคต

              ขณะนี้เป็นช่วงการโอนเงินอุดหนุนรายหัวสำหรับภาคเรียนที่ 2/2555 ให้กับโรงเรียน 3 รายการ คือ ค่าเล่าเรียน ค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียนและค่าอุปกรณ์การเรียนการสอน ซึ่งต้องยอมรับว่าช้ามากๆสำหรับการดอนเงินครั้งนี้ ก็ไม่รู้จะโทษใครดี ก็หันไปโทษระบบข้อมูลที่ไม่เสถียร ก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการประมาณค่า ที่ผ่านมาเกิดความผิดพลาดในการโอนเงินอุดหนุนดังกล่าวบ้างเหมือนกัน กล่าวคือ บางแห่งได้รับเงินเกิน บางแห่งได้รับเงินน้อยกว่าที่ตนเองจะได้ ทำให้เงินขาดไป  เพื่อไม่ให้โรงเรียนเหนื่อยเกินไป สพฐ.ก็ใช้หลักการที่ว่า หากโอนเกินให้คืน หากโอนขาดก็จะโอนเพิ่มให้  ส่วนใหญ่ก็เรียบร้อยดีครับ จะมีก็เพียงบางแห่งที่ได้รับเงินเกินไปแต่ไม่ยอมคืน ดังนั้นการจัดสรรครั้งนี้ สพฐ.จึงไม่จัดสรรให้ เพราะถือเป็นการหักลบกลบหนี้ โดยให้โรงเรียนดังกล่าวใช้เงินส่วนเกินที่ยังไม่ได้ส่งคืน สพฐ. กลับกลายเป็นว่า เงินเก่าที่เกินก็ใช้หมดไปแล้ว ส่วนเงินใหม่ก็ไม่ได้รับจัดสรร จึงเดือดร้อนเพราะไม่มีเงินใช้ในปัจจุบัน ก็คงต้องแก้ปัญหาเป็นรายๆไปครับ โดยอาจจัดสรรงบประมาณให้ไปใช้เป็นบางส่วนก่อน แต่ก่อนจะจัดสรรให้ จะให้ชี้แจงก่อนว่าโรงเรียนนำงบประมาณส่วนเกินไปใช้อะไรหมดทั้งๆที่ไม่มีสิทธิ์ใช้ นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนมัธยมศึกษาอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ส่งข้อมูลนักเรียน ถ้าไม่มีข้อมูลจำนวนนักเรียนก็ไม่สามารถจัดสรรให้ได้ครับ

          ขณะนี้เกิดแนวคิดในการจัดสรรเงินอุดหนุนนักเรียนให้กับผู้ปกครองโดยตรง          ซึ่งคณะกรรมการปฏิรูปการเงินเพื่อการศึกษาได้ให้ข้อเสนอเชิงนโยบายดังกล่าวไว้นานแล้ว คงเข้าหลักที่ว่า ใครถือเงิน คนนั้นมีอำนาจต่อรอง  ซึ่งเรื่องนี้ในหลายๆประเทศได้ดำเนินการแล้ว โดยจ่ายเงินอุดหนุนนักเรียนให้ผู้ปกครอง แล้วให้ผู้ปกครองนำไปจ่ายให้กับโรงเรียนตามรายการที่โรงเรียนเรียกเก็บ โรงเรียนก็จะพยายามสร้างความดีเด่นดัง ผู้ปกครองจะได้ส่งบุตรหลานเข้าเรียน เมื่อมีนักเรียนโรงเรียนก็จะได้เงิน ในทางตรงข้ามถ้าไม่มีนักเรียน โรงเรียนก็จะไม่มีเงินเข้ามาบำรุงโรงเรียน ต่างจากโรงเรียนของไปในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าผลสัมฤทธิ์จะต่ำสักเพียงไรก็ตาม หรือไม่ผ่าน สมศ.ก็ตาม หรือไม่มีเด็กเหลืออยู่สักคนก็ตาม ครูผู้สอน ผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เลขาธิการ  กพฐ. ทุกคนก็คงยังได้รับเงินเดือนและค่าตอบแทนเต็มทุกคน และไม่เคยมีใครถูกลงโทษ  ปัจจุบัน สพฐ.ก็จ่ายเงินเรียนฟรีในรูปเงินสดให้กับนักเรียนและผู้ปกครอง 2 รายการ คือ ค่าเสื้อผ้าและอุปกรณ์การเรียน และยังมีอีก 2 รายการที่ได้สำหรับนักเรียนยากจนและนักเรียนพักนอน และในอนาคตหากเป็นไปได้ สพฐ.อาจจ่ายเงินอุดหนุนให้กับนักเรียนในลักษณะของบัตรเดบิต (Debit card) ซึ่งเป็นบัตรที่มีมูลค่าตามจำนวนเงินอุดหนุนที่นักเรียนได้รับ นักเรียนจะได้รับบัตรเดบิตคนละ 1 ใบ เพื่อใช้แทนเงินสดในการไปซื้อสินค้าและบริการเรื่องต่างๆ ขณะนี้กำลังศึกษารายละเอียดกันอยู่ครับ ถ้ามีความคืบหน้าก็จะนำมาเล่าสู่กันฟังต่อไป

การยกระดับคุณภาพการศึกษาในระดับตำบล

              ขณะนี้ได้เกิดแนวคิดอย่างมีส่วนร่วมในระดับนโยบายถึงการยกระดับคุณภาพการศึกษาในระดับตำบลเกิดขึ้น  โดยมีข้อมูลเชิงประจักษ์แล้วว่า  ในระดับตำบลจะมีโรงเรียนขนาดเล็กกระจายอยู่ ๒-๔ โรง  และโรงเรียนเหล่านี้อยู่ท่ามกลางความขาดแคลนทรัพยากรในการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ  หากปล่อยให้อยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อไปนักเรียนในโรงเรียนดังกล่าวก็จะกลายเป็นเด็กด้อยโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ที่มีคุณภาพ  ด้วยเหตุนี้จึงได้มีความพยายามที่จะใช้ทรัพยากรร่วมกันภายในตำบลที่คาดว่าจะส่งผลให้คุณภาพของนักเรียนสูงขึ้น  บางแห่งอาจใช้นวัตกรรมการหมุนเวียนครู  หมุนเวียนคอมพิวเตอร์  หรือหมุนเวียนนักเรียน  ไปเรียนรวมกับโรงเรียนอื่น  ซึ่งหลายแห่งทำได้ดี  เช่น  สพป. เลย ๑(แก่งจันทร์โมเดล)  สพป. เลย ๓(ลากข้างโมเดล)  สพป. ลพบุรี เขต ๒(ใจประสานใจโมเดล)      สพป. นครราชสีมา3 (ทุ่งหลวงโมเดล)  สพป.นครสวรรค์1(พยุหะศึกษาคารโมเดล)   สพป.แพร่1(บ้านห้วยโรงนอกโมเดล) สพป.อุดรธานี2(เสอเพลอโมเดล)  สพป.พิษณุโลก1(วังน้ำคู้โมเดล)และยังมีอีกหลายแห่ง ซึ่งบางแห่งก็ยั่งยืน  บางแห่งก็ไม่ยั่งยืน  ทำๆ หยุดๆ  แล้วแต่ผู้บริหารโรงเรียนและนโยบายระดับสูง

              การสนับสนุนจากต้นสังกัดเพื่อให้นวัตกรรมดังกล่าวข้างต้นดูจะจริงจังขึ้นมาเสียแล้ว  โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ให้ความเห็นชอบที่จะให้ สพฐ. จัดทำรถตู้โดยสาร ๑๕ ที่นั่ง  ตำบลละ ๑ คัน  จำนวน 6,545 คัน (ตำบลทั้งหมดในประเทศไทยมี 7,409ตำบล  แต่บางตำบลไม่มีโรงเรียน  หรือบางตำบลมีโรงเรียนเป็นเอกเทศไม่ต้องหมุนเวียนเด็ก/ครูหรือบางตำบลเดินทางไปเรียนกับตำบลอื่น)  รถยนต์ตู้โดยสารดังกล่าวนี้  จะใช้รับส่งนักเรียนในช่วงเช้า-เย็น  กลางวันให้ อบต./เทศบาลตำบลนำไปใช้บริการชุมชน  อาคารเรียนที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อันเนื่องมาจากการรวมนักเรียนก็เปิดโอกาสให้ กศน. เข้ามาใช้เป็นศูนย์การเรียนรู้ในระดับตำบล  หรือให้พัฒนาชุมชนมาใช้เป็นศูนย์แสดงและจำหน่ายสินค้า OTOP ของชุมชน  โดย สพฐ. จะเป็นผู้ตั้งงบประมาณซื้อรถยนต์และค่าบำรุงรักษา  ส่วนกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจะเป็นผู้ตั้งงบประมาณเพื่อเป็นค่าจ้างพนักงานขับรถและค่าน้ำมันเชื้อเพลิงรถดังกล่าว  ก็นับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีครับ  ที่จะเกิดความร่วมมือกันในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้สูงขึ้น  มีคำถามแล้วสิว่าจะได้จริงๆ หรือ  ทำได้ครับ  และมีตัวอย่างให้เห็นแล้วตามรายชื่อสำนักงานเขตพื้นที่ที่กล่าวถึงข้างต้น
สวัสดีปีใหม่ครับ

ไม่มีความคิดเห็น: